สุดารัตน์ ผู้ก่อตั้ง กลุ่มสร้างไทย ชี้ว่า ม.33 เรารักกัน มีเงื่อนไขที่มีช่องว่างและสร้างความไม่เท่าเทียมให้กับผู้ประกันตนบางราย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในฐานะผู้ก่อตั้ง กลุ่มสร้างไทย โพสต์ Facebook แถลงการณ์เกี่ยวกับ ม.33 เรารักกัน ที่มีจุดอ่อนตรงที่มีเงื่อนไขที่มีช่องว่างและสร้างความไม่เท่าเทียมให้กับผู้ประกันตนบางราย
โพสต์ดังกล่าว ระบุว่า: “แถลงการณ์ กลุ่มสร้างไทย
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะเยียวยาผู้ใช้แรงงานสัญชาติไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยจะต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และต้องไม่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท นั้น
“กลุ่มสร้างไทย” เห็นว่าหากจะมีการใช้เงินจากกองทุนประกันสังคมเพื่อเยียวยาแก่ผู้ใช้แรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะต้องเยียวยาแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทุกคนโดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน อันเป็นไปตามหลักการที่ว่า ทุกคนมีความเสมอภาคกันตามกฎหมาย (equality before the law) และไม่เลือกปฏิบัติ (non discrimination) ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ได้บัญญัติรับรองหลักการดังกล่าวไว้ในมาตรา 27 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด ฯลฯ ฐานะทางเศรษฐกิจ ฯลฯ จะกระทำมิได้”
“กลุ่มสร้างไทย” มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การสร้างเงื่อนไขว่าผู้ประกันตนจะต้องไม่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท นั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขว่าผู้ประกันตนคนนั้นเป็นผู้ยากไร้ เพราะผู้ประกันตนอาจจะลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น ลงทุนในหลักทรัพย์ กองทุน ตราสารอย่างอื่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรืออาจเก็บเป็นเงินสดที่มีมูลค่าสูงกว่า 500,000 บาท แต่กลับไม่ถูกตัดสิทธิ การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวจึงมีช่องว่างและสร้างความไม่เท่าเทียมไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเหมือนกันแต่กลับได้รับสิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน
การกำหนดเงื่อนไขที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ทำการแก้ไขเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจึงไม่ควรสร้างเดือดร้อนให้กับผู้ประกันตนเพิ่มอีก รัฐบาลควรเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้
“กลุ่มสร้างไทย” จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดที่กำหนดให้ผู้ประกันตนจะต้องไม่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท เพื่อให้การเยียวยาเกิดความเป็นธรรมอันจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พลเอกหญิง ‘เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ’ โอนเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พลเอกหญิง ‘เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ’ โอนเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเรื่อง ให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารและพระราชทานพระยศทหาร
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารและพระราชทานพระยศทหาร
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ประกอบมาตรา 4 และ มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 มาตรา 10 มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 15 และ มาตรา 18 แห่งพ.ร.ก.จัดระเบียนราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 มาตรา 4 และ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ. 2479
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลโทหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 2 สำนักงานอัยการสูงสุด ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการกองบัญชาการ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอก) และพระราชทานพระยศเป็น พลเอกหญิง
ประวิตร ลงโทษ ผู้ชุมนุมที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย ในการประท้วง ต้าน รัฐประหารเมียนมา ซึ่งถือเป็นการขัดต่อมาตรการป้องกันโรคโควิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีชาวเมียนมาไปรวมตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองที่หน้าสถานทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า พบว่าผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งถือเป็นการขัดต่อมาตรการป้องกันโควิด
แนะนำ : รีวิวเครื่องใช้ไฟฟ้า | รีวิวอาหารญี่ปุ่น| รีวิวที่เที่ยว | ดาราเอวี